หน้านี้เป็นรีวิวหนังนะคะ รีวิวหนังสือได้ที่หน้านี้ https://kratenbooks.wordpress.com/2011/10/07/the-hunger-games-review-รีวิวฮังเกอร์-เกมส์/
ในที่สุดก็ได้ไปดูหนัง The Hunger Games ที่เราอ่านหนังสือไปแล้วหลายๆ รอบ และก็อินไปกับโลกในหนังสือนั้นมาก
หนังสองชั่วโมงกว่าดูแล้วก็รู้สึกว่าแป๊บๆ เอง เพราะเพลินไปกับการเห็นตัวละครที่เราชอบในแบบที่มีชีวิตชีวา ไม่ได้ขัดขวงกับตัวไหนเลย แต่ที่ชอบที่สุดก็คือแคตนิสที่ Jennifer Lawrence เล่นได้แข็งแกร่งสมเป็นแคทนิส แม้จะไม่ได้อดโซเหมือนในหนังสือ แถมตอนเล่น Winter’s bone Jen ยังดูสะบักสะบอมปางตายกว่าใน Hungers Game เสียอีก
เลยคิดว่าในฉบับภาพยนตร์ ความโหดร้ายรุนแรงทุกอย่างถูกลดระดับลงมา ทั้งในตัว Arena และสภาพสังคม เราอดเห็นความโหดร้ายของผู้ปกครองเพราะพวก Avox หายไปหมด คนดูหนังเลยไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องเล่นไปตามเกมส์ เขต 13 ที่ถูกทำลายไปทั้งเขตเพราะกบฎก็ไม่ได้เห็น พอขาดมุมนี้ เพื่อนที่ไม่ได้อ่านหนังสือแต่ไปดูหนังเลยรู้สึกว่าหนังไม่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่และซ่อนเร้น ส่งเด็กไปฆ่ากันแล้วก็จบ
ในมุมการต่อสู้ในarena เลยทำให้หนังถูกเปรียบเทียบกับหนังญี่ปุ่น Battle Royale ทั้งๆ ที่ในหนังสือ การต่อสู้ไม่ได้เป็นประเด็นหลักเลย แต่การพยายามเอาตัวรอดในพื้นที่ที่ยากลำบาก และการถูกทั้งผู้คุมเกมส์และผู้เล่นคนอื่นตามล่าเป็นปัญหาหลักของแคทนิสต่างหาก กว่าเธอจะหาน้ำดื่มสักอึกได้เธอก็แทบตาย การดักหาอาหารในแต่ละมื้อเราแทบไม่ได้เห็นเลย ความร่วมมือระหว่างแคทนิสกับรู จนไปถึงเทรซ ที่กลายเป็นไฟแห่งความหวังสำหรับสังคมที่ถูกกดขี่ก็ไม่ได้ถูกนำเสนออย่างชัดเจน และการที่เลือดสาดน้อยไป ที่ปีต้าไม่ได้เสียขาและแคทนิสไม่ได้เสียหู เลยทำให้ทุกอย่างสวยงามไปหน่อย สุดท้ายคือเสียดายที่ไม่ได้เห็นเกมส์เอาใจคนดูของแคทนิสตอนที่ดีกับปีต้า จนตอนจบเกมส์ปีต้ายังสับสนว่าตกลงเป็นอย่างไรกันแน่
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้เนื้อหาจะถูกทำให้เรียบง่ายและความโหดร้ายถูกลดระดับกว่าในหนังสือมาก แต่ก็ยังรอดู Catching Fire อยู่ดี เพราะเกมส์ถูกยกระดับขึ้น แถมมีตัวละครเด่นๆ อย่างฟินนิกและโจแอนนาที่จะมีสร้างสีสันให้มันส์หยดแน่นอน