And the Mountains Echoed: Khaled Hosseini Review

นิยายล่าสุดของผู้เขียน The Kite Runner และ A Thousand Splendid Suns เรื่องนี้มีวิธีเล่าเรื่องที่แตกต่างจากสองเรื่องแรกซึ่งติดตามตัวละครหลักไปทั้งเรื่องจากเด็กจนโต แต่ And the Mountain Echoed เล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอัฟกานิสถาน ในช่วงเวลาที่โหดร้ายของประเทศนั้นตั้งแต่ช่วงปี 1940-2000 กว่าๆ คือติดตามตัวละครตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายถึงหลานเลย คือแต่ละบทจะตามตัวละครไม่ซำ้กันเลย ชีวิตก็ไม่ได้คาบเกี่ยวกันโดยตรง จนอ่านตอนแรกๆ แล้วจะงงว่านี่เรื่องจะไปทางไหนกันแน่ พอไปกลางเรื่องก็จะสงสัยว่าแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนนั้นคนนี้ล่ะ ในแต่ที่สุดผู้เขียนก็ขมวดปมเข้ามาได้อย่างงดงามและไม่เยิ่นเย้อ

ปลายปากกาของ Hosseini เฉียบคมขึ้นกว่าเดิมมาก ตั้งแต่บทแรกที่อ่านดูเหมือนนิทานปรัมปรา จนท้ายเรื่องที่คนอ่านต้องลุ้นไปกับตัวละคร ถึงหนังสือของเขาจะใช้เวลานานกว่าจะออกแต่ละเล่ม แต่คุณภาพ ความประทับใจ และพลังของแต่ละเล่มไม่มีตกเลย

Me before You, Jojo Moyes review

ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือดีๆ ติดกัน 😉 ดูจากปกแล้ว Me before You น่าจะโรแมนติกหวานฉ่ำ และก็ไม่ผิดหวังเลย Romantic Comedy เล่มนี้มีพกพาความเพลิดเพลินและความน่าคิดมาด้วยมากมาย

ลู สาวซ่าสดใสที่ชีวิตไร้เป้าหมาย ใช้เวลาให้ผ่านไปวันๆ จำใจต้องหางานด่วน บริษัทจัดหางานส่งเธอมาที่บ้านของครอบครัวเทรเนอร์ที่มีลูกชายเป็นผู้พิการ ครอบครัวเธอต่างก็หยอกล้อว่าสาวเป๋อๆ อย่างเธอจะไปดูแลใครได้

วิล อดีตนักธุรกิจวัย 30 กว่าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ประสบอุบัติเหตุที่ทำให้ต้องพิการตลอดชีวิต และอยู่ในความดูแลของผู้อื่นตลอด รู้สึกหน่ายกับสภาพของตน ทำให้อารมณ์ร้ายตลอดเวลา เขาเฉยๆ กับผู้ช่วยคนใหม่ที่แม่หามาให้ ถึงกับกลั่นแกล้งเธอหลายวิธีให้เธอลาออก ฟังเนื้อเรื่องแล้วก็พ่อแง่แม่งอนพอสมควร แต่รายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ให้กับสมาชิกครอบครัวแต่ละคน ทำให้เรื่องเกิดมิติและน่าสนใจ จนพระเอกนางเอกจูนกันติด คราวนี้ล่ะวางไม่ลงเลย

คำถามมันมีมากมาย ลูจะเลือกชีวิตแบบไหนกับใคร วิลจะเกิดแรงบันดาลใจไหม แล้วสุขภาพเขาจะเป็นอย่างไร ครอบครัวของทั้งคู่ล่ะคิดอย่างไร หนังสือเรื่องนี้จะสะท้อนทางเลือกในชีวิตของเรา พร้อมทั้งถามว่าทุกวันนี้เราใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ามีความหมายหรือยัง

The fault in our stars, John Green review

ผิดที่ฟ้าลิขิต – ใครๆ ก็อยากอยู่กับคนที่รักไปตลอดกาล แต่ชะตาของคนเรามันถูกกำหนดมาแล้ว จะทำยังไงได้ล่ะ หนังสือเล็กๆ เล่มนี้ ถูกเขียนขึ้นมาอย่างชาญฉลาด ตลก อบอุ่น และเศร้าไปในเวลาเดียวกัน

เรื่องเล่าผ่านมุมของเฮเซิล สาวน้อยที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด และรู้ว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อยเต็มที เธอเป็นลูกคนเดียว ที่แม่ต้องออกจากงานมาเพื่อดูแลเธอเต็มตัว และเธอก็อยากจะเป็นภาระให้คนอื่นน้อยที่สุด แม้ว่าแม่จะพยายามบังคับให้เธอออกไปใช้ชีวิตวัยรุ่นให้ได้มากที่สุด เมื่อเฮเซิลยอมไปเข้ากลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่โบสถ์เพื่อให้แม่สบายใจ เธอก็ได้พบกับไอแซคและกัส ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มุมมองแบบขวางโลกทำให้ทั้งสามกลายเป็นเพื่อนกัน จนพัฒนาเป็นความรักที่ทั้งฟ้าและดวงดาวพยายามเข้ามาขวาง แต่ในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็สร้างวีรกรรมและได้ไปผจญภัยชนิดที่จะทำให้ผู้อ่านต้องยิ้มและลุ้นไปกับพวกเขา

ผู้เขียนได้รับรางวัลและคำชมเชยอย่างมากมายจากหนังสือเล่มนี้ การที่เขาสามารถทำให้ผู้อ่านรักตัวละครแปลกๆ ในเวลาสั้นๆ ยังน่าประหลาดใจน้อยกว่าที่เขาทำให้เราหัวเราะและร้องไห้ไปในเวลาเดียวกันได้ หนังสือเล่มนี้ถือว่าเล็ก แต่เปี่ยมล้นไปด้วยสาระและความบันเทิง แนะนำจริงๆ ค่ะ

Review: Divergent, Veronica Roth

ไม่ได้รีวิวหนังสือมานานแล้ว พอดีอยู่ในอารมณ์ที่อยากอ่านแต่เรื่องเก่าๆ จนต้องบังคับตัวเองให้อ่านอะไรใหม่ๆ บ้างเลยคว้าเรื่องนี้มา  Divergent นิยายวัยรุ่นแนวโลกโหดร้ายเรื่องใหม่ที่มาแรงแทน The Hunger Games จนจะมีหนังของตัวเองออกมาปีหน้า ทันใจจริงๆ

โลกของ Divergent คือโลกที่สังคมถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ตามคุณธรรมที่แต่ละกลุ่มมองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสงบสุข คือความมีจิตอาสา ความจริง ความรู้ ความเป็นมิตร และความกล้าหาญ เด็กจะดำเนินชีวิตตามคุณธรรมของครอบครัวตน จนอายุ  16 ก็จะต้องผ่านการทดสอบเพื่อดูว่าตัวตนจริงๆ อยู่ในกลุ่มไหน และละมีสิทธิ์เลือกคุณธรรมใหม่ของตน โดยที่ต้องไปผ่านการทดสอบเพื่อเข้ากลุ่มก่อน และจึงจะได้รับการฝึกฝนให้ประกอบอาชีพตามสาขาวิชาของคุณธรรมที่ตนเลือก

ทริซ นางเอกของเรื่องโตมากับครอบครัวจิตรอาสา แต่เธอเบื่อที่จะต้องคิดถึงผู้อื่นก่อนตัวเองตลอกเวลา และเมื่อถึงวันทดสอบเธอกลับได้ผลที่ไม่คาดคิด คือเธอมีคุณสมบัติเป็น Divergent คือมีหลายคุณสมบัติ ผู้ทดสอบบอกให้เธอปิดบังผลลัพธ์นี้ไว้เพราะมันเป็นตัวแปรที่อันตราย เธอเลือกที่จะจากครอบครัวไปเข้ากลุ่มความกล้าหาญ ที่ใช้ชีวิตโลดโผนอันตราย และต้องผ่านการฝึกหฤโหด ในระหว่างนั้นเธอก็ไปค้นพบแผนลับของกลุ่มๆ หนึ่งที่อยากจะทำลายสังคมเพื่อเป็นใหญ่ แล้วเธอจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดสงครามได้

นิยายเรื่องนี้เป็นไตรภาค แต่ภาพนี้เน้นที่การเดินเรื่องอธิบายสังคมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตของทริซอยู่ในอันตรายอะไรจนท้ายเรื่อง แม้จะมีฉากโลดโผนอยู่ตลอดเวลา หนังสืออ่านง่ายและอ่านเร็วสมกับเป็นหนังสือวัยรุ่น แต่ไม่ค่อยมีอะไรน่าประทับใจ เพราะตัวละครไม่ลึกเท่าไหร่ และส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก

เทียบกับ The Hunger Games แล้วจะรู้สึกว่าสภาพสังคมในนั้นมันโหดกว่า ชีวิตของแคทนิสต้องเอาตัวรอดตั้งแต่เปิดเรื่องจนจบ ตัวละครก็หลากหลายมีมิติ มีจุดยืนที่ไปที่มาที่ต่างกันทำให้มีตัวละครที่น่าจดจำหลายตัวตั้งแต่เล่มหนึ่งถึงสาม ชีวิตของทริซเพียงแต่อยู่ในกฎระเบียบที่เคร่งครัด เล่มสองน่าจะเปลี่ยนโทนแน่นอนแต่เล่มหนึ่งมันทำให้ไม่อยากรีบหยิบเล่มสองมาอ่านเลย

The Discovery of Witches- Deborah Harkness Review

โพสต์แรกของปี 2013 กว่าจะได้โพสต์ก็ปาไปปลายเดือนเลยนะคะ ;-(

วันนี้ขอเอาหนังสือเรื่อง The Discovery of Witches ของ Deborah Harkness มาแนะนำ นิยายเรื่องนี้วางขายตั้งแต่ปี  2011 และก็ติดอันดับหนังสือขายดีไปเรียบร้อย แม้จะเป็นนิยายเรื่องแรกของDeborah แต่เธอก็เล่าเรื่องที่สนุกจนวางไม่ลง และก็แสดงโลกในจินตนาการที่น่าตื่นเต้นลึกลับของเธอได้ออกมาอย่างชัดเจน

The Discovery of Witches เปรียบได้กับ Harry Potter ภาคโตเป็นผู้ใหญ่ และคล้ายๆ นิยายแนวเวทย์มนต์ที่ออกไล่ๆ กันคือ The Night Circus ในแบบที่เป็นกันเองกับผู้อ่านมากกว่า ไดอาน่า นางเอกของเรื่องสืบเชื้อสายแม่มดที่เก่าแก่แต่เธอกลับหลีกเลี่ยงการใช้พลังพิเศษ หรือการคบหาสมาคมกับเผ่าพันธ์เดียวกัน เพราะอยากจะเป็นคนธรรมดา แต่วันหนึ่งเธอดันไปปลดล็อคคัมภีร์โบราณที่เธอไม่รู้ว่าคืออะไรโดยไม่ตั้งใจ คราวนี้แหละสัตว์ประหลาดในโลกทั้งหลายก็มาเฝ้าติดตามเธอเพื่อหาทางแย่งชิงคัมภัร์นี้ให้ได้ แม่มดที่อ่อนเวทย์มนต์อย่างเธอก็คงเสร็จไปแต่แรกถ้าไม่มีแมทธิว แวมไพร์ผู้ลึกลับออกมาปกป้อง

นิยายเรื่องนี้เต็มไปด้วยปริศนา แต่ผู้เขียนก็เดินเรื่องได้อย่างรวดเร็วไม่หวงไม่กั๊กอะไร เพราะเธอมีดีเรื่องราวหักมุม และตัวละครที่น่าสนใจมาเติมเต็มอยู่เรื่อย ที่สำคัญแม้เรื่องนี้จะเล่มหนามาก แต่มันยังไม่จบนะ ! เป็นเพียงเล่มแรกของนิยายไตรภาคที่ชื่อ The All Souls Triology ต้องติดตามค่ะ